วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

วัฒนธรรมประเพณี

วัฒธรรมประเพณี


1.งานประเพณีถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระจาลองของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (งานอัฐมีบูชา) ถือเป็นวันสาคัญในพระพุทธศาสนาวันหนึ่งและเป็นการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม จัดขึ้นในวันแรม 8 ค่า เดือน 6 ของทุกปีณ วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้งอาเภอลับแล


2. งานไหว้เจ้าฟูาฮ่ามกุมาร กษัตริย์พระองค์แรกแห่งนครลับแล มีการแห่ขบวนตุงล้านนา ที่ยาวที่สุดจัดขึ้นในช่วงเดือน๖ ของทุกปี 

 
3. งานเทศกาลพระยาพิชัยดาบหักและงานกาชาดจังหวัดอุตรดิตถ์ ในระหว่าง วันที่ 7 - 16 มกราคม ของทุกปี 


4.ประเพณีแข่งขันพายเรือยาวประจำปี (22 - 24 สิงหาคมของทุกปี) จัดโดยเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ บริเวณลานเอกประสงค์ริมน้าน่าน อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ 


5.ประเพณีก่อเจดีย์บุญกองข้าวใหญ่จัดขึ้นกลางเดือนมกราคมบริเวณสนามกีฬาภูเวียงหน้าที่ว่าการอำเภอบ้านโคก 




อำเภอลับแล


อำเภอลับแล
 
 
 

 
           อยู่ห่างจากตัวเมืองอุตรดิตถ์ ประมาณ 8 กม. ตามทางหลวงหมายเลข 102 ประมาณ 3 กม. เลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 1041 ประมาณ 6 กม. เป็นเมืองโบราณมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เคยเสด็จมาเมื่อ วันที่ 24 ตุลาคม 2444 ความเป็นมาของคำว่า "ลับแล" นั้น ตามข้อสันนิษฐานของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพว่า เดิมชาวเมืองแพร่ เมืองน่าน หนีข้าศึกและความเดือดร้อนมาซุ่มซ่อนตั้งชุมชนอยู่ เนื่องจากเป็นที่ ป่าดงหลบซ่อนตัวง่ายและภูมิประเทศเป็นเมืองอยู่ในระหว่างเขามีที่เนินสลับกับที่ต่ำ คนต่างเมือง ถ้าไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศจะหลงทางได้ง่าย แต่ปัจจุบันมีถนนตัดผ่านทำให้สภาพป่าหมดไป ความลึกลับของเมืองจึงหายไป และยังมีอีกหลายตำนานที่กล่าวถึงเมืองลับแล ปัจจุบันอำเภอลับแล เป็นแหล่งผลิตสินค้าหัตถกรรม เช่น ผ้าตีนจก ไม้กวาด นอกจากนั้นยังมีสวนลางสาด ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดในอำเภอลับแล มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย
 


 

ประวัติการก่อสร้างประตูเมืองลับแลและประติมากรรมแม่ม่าย
 
ที่มาhttp://place.thai-tour.com
 

 

สถานที่ท่องเที่ยว


อนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก



"พระยาสีหราชเดโช" มีตำแหน่งเป็นายทหารเอกราชองครักษ์ตามเดิม สุดท้ายเมื่อปราบก๊กพระเจ้าฝางได้แล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินได้ทรงปูนบำเหน็จความชอบให้ทหารของพระองค์โดยทั่วหน้า ส่วนพระยาสีหราชเดโช (จ้อย หรือ ทองดี ฟันขาว) นั้น ได้โปรดเกล้าฯ บำเหน็จความชอบให้เป็นพระยาพิชัยปกครองเมืองพิชัยอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนแต่เยาว์วัย
      ในปี พ.ศ. 2313 - 2316 ได้เกิดการสู้รบกับกองทัพพม่าอีกหลายคราว และทุกคราวที่กองทัพพม่าแตกพ่ายไป ก็สร้างความอัปยศอดสูแก่แม่ทัพนายกองเป็นทวีคูณ พอสิ้นฤดูฝนปีมะเส็ง พ.ศ. 2316 โปสุพลายกกองทัพมาหมายตีเมืองพิชัยอีก "การศึกครั้งนี้พระยาพิชัยจับดาบสองมือคาดด้าย ออกไล่ฟันแทงพม่าอย่างชุลมุน จนเมื่อพระยาพิชัยเสียการทรงตัว ก็ได้ใช้ดาบข้างขวาพยุงตัวไว้ จนดาบข้างขวาหักเป็นสองท่อน" กองทัพโปสุพลาก็แตกพ่ายกลับไป เมื่อวันอังคาร เดือนยี่ แรม 7 ค่ำ ปีมะเส็ง พ.ศ. 2316 (ตรงกับวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2316)


 ถวายชีวิตเป็นราชพลี
      พระปรางค์วัดราชคฤห์วรวิหาร สถานที่บรรจุอัฐิของพระยาพิชัยดาบหักเมื่อปี พ.ศ. 2325 หลังจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันท์ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเล็งเห็นว่าพระยาพิชัยเป็นขุนนางคู่พระทัยสมเด็จพระเจ้าตากสินที่มีฝีมือและซื่อสัตย์ จึงชวนพระยาพิชัยเข้ารับราชการในแผ่นดินใหม่แต่พระยาพิชัยไม่ขอรับตำแหน่งด้วยท่านเป็นคนจงรักภักดีและซื่อสัตย์ต่อองค์พระเจ้าตากสินฯ และถือคติที่ว่า "ข้าสองเจ้าบ่าวสองนายมิดี" จึงขอให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกสำเร็จโทษตน เป็นการถวายชีวิตตายตามสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ
      หลังจากท่านได้ถูกสำเร็จโทษสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีพระองค์จึงได้ทรงรับสั่งให้สร้างพระปรางค์นำอัฐิของท่านไปบรรจุไว้ ณ วัดราชคฤห์วรวิหาร ซึ่งพระปรางคนี้ก็ยังปรากฏสืบมาจนปัจจุบัน
      พระยาพิชัยดาบหักได้สร้างมรดกอันควรแก่การยกย่องสรรเสริญให้สืบทอดมาถึงปัจจุบันได้แก่ ความซื่อสัตย์สุจริต ความกตัญญูกตเวที ความเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดกล้าหาญรวมถึงความรักชาติ ต้องการให้ชาติเจริญรุ่งเรืองมั่นคงต่อไป
 ต้นตระกูล “วิชัยขัทคะ”
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรี ได้พระราชทานนามสกุลของตระกูลพระยาพิชัยดาบหักว่า “วิชัยขัทคะ” อ่านว่า ( วิ-ไช-ขัด-ทะ-คะ ) ซึ่งแปลโดยอนุโลมว่า “ดาบวิเศษ”





จิตรกรรมฝาผนังวัดกลาง

              อยู่ที่ตำบลบ้านแกะ ห่างจากตัวอำเภอ 3 กม. วัดกลางเป็นวัดเก่าแก่ มีพระอุโบสถที่มีลวดลาย รูปปั้นสวยงาม ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังที่เก่าแก่หายากสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เป็นภาพพระเวสสันดรชาดกและเทพชุมนุม 

 
 
 

 
 
 
 

  อุทยานแห่งชาติคลองตรอน 
 
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ อุทยานแห่งชาติคลองตรอน

       อุทยานแห่งชาติคลองตรอน  มีพื้นที่ป่าที่สมบูรณ์ มีเนื้อที่ประมาณ 324,240.80 ไร่ หรือ 518.80 ตารางกิโลเมตร  ได้รับการประกาศจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2546 โดยอุทยานแห่งชาติคลองตรอน มีพื้นที่ครอบคลุมป่าน้ำปาด ป่าปากห้วยฉลอง ป่าห้วยสีเสียด ป่าคลองตรอนฝั่งขวา และป่าคลองตรอนฝั่งซ้าย ในท้องที่ตำบลแสนตอ ตำบลน้ำไคร้ ตำบลน้ำไผ่ อำเภอน้ำปาด ตำบลถ้ำฉลอง อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ ตำบลผาเลือด อำเภอท่าปลา และตำบลน้ำพี้ ตำบลผักขวง ตำบลบ่อทอง อำเภอทองแสงขัน จังหวัดอุตรดิตถ์  มีจุดเด่นทางธรรมชาติที่สำคัญ และสวยงาม คือ น้ำตกห้วยเนียม น้ำตกกกมอนแก้ว ถ้ำจัน ถ้ำเจดีย์ ถ้ำเสือดาว ถ้ำผาตั้ง เขาภูเมี่ยง และหน้าผาที่สวยงามเป็นที่รู้จักทั่วไป  และยังมีคลองที่ชื่อว่า “คลองตรอน” เป็นคลองซึ่งลำห้วยต่างๆ ไหลมารวมกันที่คลองนี้และไหลลงสู่แม่น้ำน่าน ซึ่งเป็นที่มาของชื่ออุทยานฯ

         อุทยานฯ มีลักษณะเป็นเทือกเขาสูงต่ำมีแนวเทือกเขาที่สำคัญคือ เขาภูเมี่ยง เขาคว่ำเรือ เขาหงายเรือ เขาสามเหลี่ยม เขาหยวก เขาถนน เขาแดด เขาไม้ผา เขาตักบอน เขาน้ำย้อย เขาผักขวง เขาจันทร์ ยอดเขาที่สูงที่สุดอยู่ด้านทิศตะวันออกคือ เขาภูเมี่ยง สูง 1,500 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง แหล่งกำเนิดห้วยที่สำคัญไหลจากแนวตะวันออกไปสู่แนวตะวันตกและไหลสู่แม่น้ำน่าน ได้แก่ ห้วยคลองม้ามืด เป็นต้น สภาพป่าไม้ทั่วไปเป็นป่าดิบแล้ง ดิบเขา สนเขา ป่าเบญจพรรณ และป่าเต็งรัง 



ที่มา:http://place.thai-tour.com/uttaradit

สภาพทางภูมิศาสตร์


        

                                                คำขวัญจังหวัด

              “เหล็กน้ำพี้ลือเลื่อง  เมืองลางสาดหวาน  บ้านพระยาพิชัยดาบหัก ถิ่นสักใหญ่ของโลก

วิสัยทัศน์

          “เมืองแห่งคุณภาพชีวิต  ผลผลิตปลอดภัย สืบสานวัฒนธรรมไทย  ก้าวไกลสัมพันธ์เพื่อนบ้านยั่งยืน
 
 

ที่ตั้งและอาณาเขต

          จังหวัดอุตรดิตถ์ ตั้งอยู่ในเขตภาคเหนือตอนล่างของประเทศไทย

อยู่ระหว่างละติจูดที่ 17 องศา 8 ลิปดาเหนือ ถึงละติจูดที่ 18 องศา 11 ลิปดาเหนือ และลองติจูดที่ 99 องศา

54 ลิปดาตะวันออก ถึงลองติจูด    ที่ 101 องศา 11 ลิปดาตะวันออก  สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 63 เมตร

มีพื้นที่ 7,832.592  ตารางกิโลเมตร  หรือประมาณ 4,889,120  ไร่ คิดเป็นร้อยละ 4.62 ของภาคเหนือ

อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร  โดยทางรถไฟประมาณ 485 กิโลเมตร และทางรถยนต์ตามทางหลวงหมายเลข 11

ระยะทางประมาณ 491 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อ  ดังนี้

          ทิศเหนือ            ติดกับ     จังหวัดแพร่ และจังหวัดน่าน

          ทิศใต้                ติดกับ     จังหวัดพิษณุโลก

          ทิศตะวันออก       ติดกับ     จังหวัดพิษณุโลก และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

                                           ซึ่งมีพรมแดนติดต่อกันยาวประมาณ 120  กิโลเมตร

          ทิศตะวันตก         ติดกับ     จังหวัดสุโขทัย

ลักษณะภูมิประเทศ

          สภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่ทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกมีสภาพเป็น ลูกคลื่นลอนลาดถึงเป็นลูกคลื่น

ลอนชั้น บางแห่งเป็นภูเขาสูงประกอบด้วยเทือกเขาน้อยใหญ่สลับกันไป มีความสูงของพื้นที่ตั้งแต่ 3001,100 เมตร

จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ส่วนทางทิศใต้และทิศตะวันตกทางอำเภอทองแสนขัน มีสภาพเป็นลูกคลื่นสลับที่ราบ

และทางตะวันตก ได้แก่ อำเภอพิชัย อำเภอตรอน บางส่วนของอำเภอเมืองและอำเภอลับแล จะเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำ

มีค่าความสูงของพื้นที่ประมาณ 50 – 70  เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง อย่างไรก็ตามสามารถแบ่งภูมิประเทศ

บริเวณจังหวัดอุตรดิตถ์ ออกได้ 3 ลักษณะ คือ

          ที่ราบลุ่มแม่น้ำน่าน  เกิดบริเวณสองฝั่งของแม่น้ำ และลำน้ำสาขาที่ไหลมาบรรจบกับแม่น้ำน่าน      

สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่ค่อนข้างราบ มีความสูงของพื้นที่ประมาณ 50 – 100  เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง

พบบริเวณอำเภอพิชัย อำเภอตรอน และพื้นที่ทางตอนใต้ของอำเภอลับแล

          ที่ราบระหว่างหุบเขาและบริเวณลูกคลื่นลอนลาด เป็นบริเวณที่อยู่ต่อเนื่องจากที่ราบลุ่มแม่น้ำน่าน

ทางด้านเหนือและตะวันออกของจังหวัดที่มีความสูงระหว่าง 100400 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง

ประกอบด้วยที่ราบแคบๆ ระหว่างหุบเขาตามแนวของแม่น้ำน่านและน้ำปาดบริเวณอำเภอท่าปลาตามแนว

คลองตรอนในอำเภอฟากท่า อำเภอน้ำปาด และอำเภอทองแสนขัน และตามแนวลำธารสายต่างๆ สลับกับ

ภูมิประเทศที่เป็นเนินเขา

          เขตภูเขาและที่สูง เป็นสภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่ที่พบในจังหวัดอุตรดิตถ์  มีค่าความสูงของพื้นที่

ระหว่าง 4001,000 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง พบได้ในบริเวณตอนเหนือของอำเภอลับแล

อำเภอเมือง และอำเภอทางด้านทิศตะวันออกของจังหวัด ได้แก่ อำเภอท่าปลา อำเภอฟากท่า อำเภอบ้านโคก

อำเภอน้ำปาด และอำเภอทองแสนขัน

 

ลักษณะภูมิอากาศ

          ภูมิอากาศของจังหวัดอุตรดิตถ์เป็นภูมิอากาศเขตฝนเมืองร้อน (Tropical savannah Climatic )  

ซึ่งจะมีช่วงฝนกับช่วงที่แห้งแล้งแตกต่างกันอย่างชัดเจน ฝนที่ตกในบริเวณจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นผลจากลมมรสุมตะวันตก

เฉียงใต้ฝนจะเริ่มตกในเดือนพฤษภาคม และจะชุกขึ้นในเดือนสิงหาคมและเดือนกันยายน แบ่งฤดูกาลออกเป็น 3 ฤดู  ดังนี้

          ฤดูร้อน              เริ่มตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ – กลางเดือนพฤษภาคม

          ฤดูฝน               เริ่มตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม – กลางเดือนตุลาคม

          ฤดูหนาว            เริ่มตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม – กลางเดือนกุมภาพันธ์

 

 

ประวัติความเป็นมา

ประวัติความเป็นมา
 
 
 
 
 
 
 
             อุตรดิตถ์แปลว่า “ ท่าเหนือ ” เนื่องจากในสมัยก่อนพ่อค้าจะนำสินค้ามาจากหลวงพระบาง น่าน หรือเมืองเหนือ อื่น ๆ ไปขายทางใต้ เช่น พิษณูโลก นครสวรรค์ อยุธยา กรุงเทพฯ หรือสินค้าจากทางใต้จะนำขึ้นเหนือ ต้องแวะพักกัน ตามท่าน้ำจอดเรือของอุตรดิตถ์ ทำให้มีการแลกเปลี่ยนสินค้าและวัฒนธรรม ตลอดจนการโยกย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชนต่าง ๆ ตามแนวลำน้ำเกิดขึ้น อุตรดิตถ์ เคยเป็นตำบลหนึ่งชื่อ “ บางโพท่าอิฐ ” ขึ้นกับเมืองพิชัยตั้งอยู่ริมฝั่งขวาของแม่น้ำน่านและมีความเจริญอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นเมืองท่าเรือขนถ่ายสินค้าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ได้เสด็จถึง “ บางโพท่าอิฐ ” เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2444 โดยเรือพระที่นั่งได้จอด ณ บริเวณหน้าวัดวังเตาหม้อ ซึ่งก็คือ วัดท่าถนน ตำบลท่าอิฐ อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ ในปัจจุบันต่อมาทรงพระราชดำริเห็นว่า ตำบลบางโพท่าอิฐ คงจะเจริญต่อไป จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเป็นเมือง เรียกว่า “ เมืองอุตรดิตถ์ ” เนื่องจากเมืองอุตรดิตถ์ มีผู้คนมาอยู่อาศัยประกอบการค้ามากขึ้น ในขณะที่เมืองพิชัยโรยไป และเมื่อ พ.ศ. 2457 พระบาทสมเด็จพระมงกฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนคำว่า “ เมือง ” เป็น “ จังหวัด ” ดังนั้นเมืองอุตรดิตถ์ จึงเป็นจังหวัดอุตรดิตถ์ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
 

           ที่มา :https://wowveya.wordpress.com

จังหวัดอุตรดิตถ์

จังหวัดอุตรดิตถ์